
อยากเป็นนักสืบเรียนสาขาไหนดี บทความวันนี้เราจะมาเรียนรู้ข้อมูลเกี่ยวกับนักสืบ นักสืบต้องอาศัยประโยชน์จากเทคโนโลยีให้มากอย่างไร
นิติศาสตร์
นักสืบต้องอาศัยประโยชน์จากเทคโนโลยีให้มาก
ปัจจุบัน เทคโนโลยีได้พัฒนาไปไกลเกินกว่าจะถอยหลังกลับ
อะไรที่ไม่คิดว่าจะเป็นไปได้ เทคโนโลยีสามารถ ทำได้ง่ายเหมือนร่ายมนต์
นักสืบควรติดตามเทคโนโลยีให้ทัน ควรหมั่นหาความรู้อยู่สม่ำเสมอ ยกตัวอย่างเช่น
การค้นหาข้อมูลของเป้าหมาย จากอินเตอร์เน็ตเป็นสิ่งที่นักสืบควรจะต้อง
ศึกษาเรียนรู้และ ทำได้อย่างคล่องแคล่ว เพื่อประหยัดเวลา เงินตรา อารมณ์
และสามารถบรรลุผลของการสืบได้อย่างถูกต้อง ได้ในเวลาอันรวดเร็ว
ซึ่งจะเป็นผลดีต่อตัวนักสืบโดยตรง นักสืบจะได้รับความเชื่อถือจากผู้ว่าจ้าง
และเป็นที่ยอมรับ ในแวดวง พวกนักสืบด้วยกัน ราวกับเป็นพ่อมดแห่งนักสืบทีเดียว
นักสืบต้องมีคุณธรรม
ไม่มีงานสืบใดในโลกที่สามารถรับรองผลได้ 100 เปอร์เซ็นต์
นักสืบไม่ควรคุยโอ้อวดว่าสามารถสืบเรื่องราวใดๆก็ได้ ราวกับเซียนผู้วิเศษ
เพราะการเป็นนักสืบ ไม่ได้หมายถึงการจับยามสามตาล่วงรู้ทุกสรรพสิ่ง
เมื่อมีการติดต่อว่าจ้างเข้ามา
นักสืบไม่ควรอวดอ้างสรรพคุณของตนเองว่าสามารรับรองผลการสืบได้ 100 เปอร์เซ็นต์
เพราะจะทำให้ดูขาดความน่าเชื่อถือ
นักสืบควรวิเคราะห์ถึงความเป็นไปได้จากการบอกเล่าของผู้ว่าจ้าง
ถึงเนื้องานนั้นๆว่ามีความเป็นไปได้มากน้อยเพียงใดในการสืบ
นักสืบควรถามผู้ว่าจ้างให้ชัดเจนถึงขอบเขตงานที่จะให้ทำ
เมื่อนักสืบทำการวิเคราะห์อย่างคร่าวๆจากข้อมูลที่ผู้ว่าจ้างให้มา
และรู้ถึงขอบเขตงานแล้ว จึงค่อยตัดสินใจรับงานนั้น
และทำการตกลงกับผู้ว่าจ้างให้ชัดเจนว่าต้องใช้เวลานานเท่าใดในการสืบ เพื่อเป็นการ
save ตัวของนักสืบไม่ให้ถูกกดดันจนเกินไป
การ ตามสืบในเรื่องใดๆก็ตาม เมื่อนักสืบ สืบได้ความจริงแล้ว
ไม่ควรนำข้อมูลนั้นกลับไปข่มขู่คุกคามเป้าหมาย ให้เอื้ออำนวยผลประโยชน์
อย่างใดอย่างหนึ่งแก่นักสืบ เพื่อแลกกับการไม่เปิดเผยความลับของเป้าหมาย
การกระทำแบบนี้ถือว่าไม่สมควรอย่างยิ่ง นักสืบต้องตระหนักและเข้าใจว่า
หน้าที่ของนักสืบคือการสืบให้ได้ตามวัตถุประสงค์ ของผู้ว่าจ้างเท่านั้น
นักสืบมิใช่ตุลาการที่จะคอยตัดสินความผิดถูกของผู้หนึ่งผู้ใด
หรือนักสืบไม่ใช่นักการตลาด ที่จะคอยหาผลประโยชน์จากการถือไพ่เหนือกว่าเป้าหมาย
อันเนื่องมาจากกำความลับของเป้าหมายอยู่
นักสืบเมื่อสืบได้ข้อสรุปแล้วควรรีบรายงานให้ผู้ว่าจ้างทราบและส่งมอบงาน ทันที
บ่อย ครั้งที่นักสืบทำเป้าหมายหลุด จากการติดตามทั้งๆที่ ตัวเป้าหมายเอง
มิได้ทราบเลยว่า มีนักสืบคอยติดตามอยู่เพียงแต่ว่าเป้าหมายที่นักสืบคอยติดตามนั้น
มีความระมัดระวังตัว มีการปลอมแปลงตัวอยู่ตลอดเวลา เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา
จนยากต่อการติดตาม
ดังนั้นนักสืบต้องคอยสังเกตให้ดีถึงจุดเด่นของเป้าหมายว่ามีส่วนใดที่สามารถ
จดจำได้ง่าย เช่น สีผิว ทรงผม สีเล็บ ส่วนสูง ความอ้วน ผอม
หรือแม้กระทั่งจังหวะการก้าวเดิน สิ่งเหล่านี้ ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ในเวลาสั้นๆ
จุดสังเกตเล็กๆน้อยเหล่านี้ จะช่วยให้นักสืบสามารถติดตามเป้าหมาย
ได้ตลอดโดยไม่หลุดหายไปเสียก่อนเวลาอันควร
งานของนักสืบ
จะ ว่าไปแล้ว อาชีพนักสืบถือว่าเป็นอาชีพที่เก่าแก่ มีมาตั้งแต่สมัยโบราณ
ไม่ว่านักสืบในยุคสมัยใด ก็ล้วนมีจุดมุ่งหมายเดียวกัน
คือสืบเรื่องราวที่เป็นความลับทั้งหลาย
งานของนักสืบคือการทำให้ความลับเดินทางมาถึงจุดสิ้นสุด
นักสืบต้องเข้าถึงที่สุดของความลับ งานจึงจะบรรลุเป้าหมาย
นักสืบเปรียบเสมือนเป็นผู้ถักทอความจริงให้ปรากฎ นักสืบคือผู้ตามล่าหาความจริง
นักสืบเหมือนผู้นำจิ๊กซอว์แห่งความจริงมาเชื่อมต่อกันจนปรากฎเป็นรูปร่างที่ สมบูรณ์
นักสืบคือผู้พิชิตความลับ นักสืบคือผู้ก้าวข้ามเส้นแบ่งระหว่างความลับและความจริง
วิถีชีวิตของนักสืบเป็นอย่างนี้มาตั้งแต่โบราณจนถึงปัจจุบัน
นักสืบต้องหมั่นศึกษาหาความรู้
นักสืบควรที่จะรู้จักเรียนรู้เทคนิค วิธีการสืบจากผู้มาก่อน หรือนักสืบรุ่นพี่ๆ
เพื่อที่จะไม่เสียเวลาในการ ลองผิดลองถูกในการเป็นนักสืบ
มีเรื่องมากมายหลายอย่างที่สามารถลองผิดลองถูกได้ แต่การเป็นนักสืบ
ขอแนะนำอย่างยิ่งว่าไม่ควรลองผิด ควรจะลองถูกเพียงอย่างเดียว
เพราะว่าความผิดพลาดเพียงเล็กๆน้อยของนักสืบ
หมายถึงเรื่องราวและปัญหาอีกมากมายที่จะตามมา
อาจทำให้นักสืบต้องมาเสียเวลาแก้ปัญหาจนไม่สามารถบรรลุผล ของการสืบได้ ดังนั้น
นักสืบควรหาเวลาและโอกาสในการเข้าทำการศึกษาหาความรู้จากผู้มีประสบการณ์
หรืออาจหาเวลามาแชร์ประสบการณ์ในหมู่เพื่อนนักสืบด้วยกัน
นักสืบต้องรักษาความลับของผู้ว่าจ้าง
เมื่อ มีการติดต่อว่าจ้าง ให้สืบเรื่องใดแล้ว thailand private investigator
สิ่งหนึ่งที่นักสืบต้องยึดถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัดคือ
การรักษาความลับของผู้ว่าจ้าง เมื่องานนั้นสิ้นสุดลง มีการส่งมอบงานกันแล้ว
แต่ความรับผิดชอบของนักสืบ กลับไม่ได้จบลงเพียงเท่านั้น
สิ่งที่นักสืบต้องทำต่อไปคือการรักษาความลับของผู้ว่าจ้าง โดยไม่นำมาเปิดเผยต่อ
บุคคลอื่น เพราะว่าเรื่องราวบางอย่างมีความสำคัญเกี่ยวเนื่องถึง
เกียรติยศชื่อเสียงของผู้ว่าจ้าง หากเรื่องราวถูกเผยแพร่ออกไปแล้ว
ย่อมไม่เป็นผลดีต่อผู้ว่าจ้าง และตัวนักสืบเอง ผู้ว่าจ้างอาจเสื่อมเสียชื่อเสียง
นักสืบเองก็จะขาดความน่าเชื่อถือ ดังนั้น การรักษาความลับให้กับผู้ว่าจ้าง
จึงเป็นหน้าที่และความรับผิดชอบโดยตรงของนักสืบ เนื่องจากว่า
ผู้ที่มาว่าจ้างย่อมให้ความไว้วางใจในตัวนักสืบ อยู่บ้างไม่มากก็น้อย
การที่นักสืบนำเรื่องราวของผู้ว่าจ้างไปเปิดเผยแม้โดยเจตนาหรือไม่เจตนาก็ ตาม
ก็เหมือนกับนักสืบนั้นได้ทำการ ทุบหม้อข้าวของตนเอง
การรักษาความลับให้ผู้ว่าจ้างนี้ยังรวมถึง การติดต่อว่าจ้างตอนเริ่มต้น
ถึงแม้ว่าจะไม่มีการว่าจ้างเกิดขึ้นจริงๆก็ตาม
นักสืบจำเป็นต้องเก็บรักษาเรื่องราวเหล่านี้ไว้ ไม่นำไปเปิดเผย
และให้เป็นความลับติดตตัวนักสืบตลอดไป